คิดอยู่นานเพิ่งนึกได้ว่าพื้นที่ตรงนี้น่าจะเหมาะสมสุดสำหรับเรื่องเล่าเหล่านี้ในช่วงเวลานี้
(ถ้าไม่เหมาะสม ไม่เกี่ยวข้อง แจ้งหรือลบเลยก็ได้นะคะ เพราะเป็นครั้งแรกที่เขียนลงที่นี่ ไม่ทราบว่ามันจะไปโผล่อยู่ตรงไหน) เจตนาเขียนเพื่อให้ท่านที่ได้ปฏิบัติแล้ว หรือจะรับเป็นที่ปึกษาได้ทราบประวัติ ทัศนคติ เพื่อนำมาซึ่งการแนะนำ ชี้แนะ และแนวทางที่ตั้งใจให้เป็นรูปธรรม ประมาณ 1 ปีเต็มที่ศึกษาแบบเฝ้าอ่าน และลองทำเท่าที่โอกาสจะเื้อื้อในบ้าน
เมื่อนานมาแล้วตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ปีแรก ๆ มีโอกาสไปเที่ยวเยี่ยมน้อง ๆ ที่หมู่บ้านเด็ก กาญจนบุรี จำได้ว่าตอนนั้นในความเข้าใจของเราคือเป็นน้องที่ด้อยโอกาสประมาณนี้ แต่ภาพจำที่ชัดเจนอยู่จนทุกวันนี้คือ เด็ก ๆ ได้ทำอะไรที่อยากทำ ที่อยากเล่น พับกระดาษ ระบายสี อ่านหนังสือ เล่นน้ำ ปีนต้นไม้ ดูมีความสุขไม่เห็นเหมือนเด็กด้อยโอกาส ที่เคยไปเจอมีสีหน้าเศร้า ขมุกขมัว เราไปเล่นกับน้องจำได้ว่าเป็นกลุ่มใหญ่เลยคือเราขีดเขียนกิ่งไม้เป็นภาพวาดง่าย ๆ บนพื้นดิน น้อง ๆ ทายกันสนุกสนาน
ผ่านไปอีกร่วมสิบปี มาคุ้น ๆ กับชื่อนี้อีก ตอนไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง และติดตามความเข้มข้นทางการเมืองในช่วงนั้น และไปได้ยินการศึกษาโฮมสคูล เป็นการศึกษาแบบทางเลือก อย่างหนึ่ง และได้รับฟัง และอ่าน แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กที่เป็นเด็กกลุ่มพิเศษ มีความสามารถพิเศษ เป็น จีเนียส มีแนวโน้มเป็น มีหลักสูตรทำได้ และจากนักร้องท่านหนึ่งที่คุณพ่อ ให้เรียนที่บ้านหลักสูตรเมืองนอกเพราะเธอดังและไม่มีเวลา ตอนนั้นยังไม่มีลูก แต่คิดว่าทำไมเราไม่มีแบบนี้มั่งเพราะชอบอิสระ ตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยเปิด แบบแน่วแน่ เพราะติิดว่าแตกต่าง เหมาะกับฐานะทางบ้าน ที่ไม่ได้ร่ำรวย แค่พ่อแม่จะพยายามส่งถ้าอยากเรียน เป็นคนเรียนเก่ง ชอบเรียน
มาวันนี้มีลูก เกิด กันยา 2552 แนวคิดพวกนี้เริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจและศึกษา อย่างจริงจัง โชคดีที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านี้ ทำให้ง่ายขึ้นต่อการศึกษารูปแบบวิธี แต่ก็ไม่ได้เห็นจริงหรือสัมผัส รู้จักเป็นการส่วนตัวกับครอบครัวต้นแบบ ตอนลูก 2.5 ขวบ ส่งเนอสเพื่อไปทำงานประจำ ลูกยังไม่พร้อมยังไม่เคยหัด ช่วยเหลือตัวเอง แต่ลูกไปโดยดี มีมองลับตา ใคร ๆ ก็ปลอบใจว่าแบบนี้แหละ เด็กเป็นอย่างนี้เดี๋ยวก็ชิน ฝากเลี้ยงต่อเพราะบางวันก็กลับดึก สงสารลูก บ้างานด้วย กลับมาเอาลูกนอน แล้วขับรถ ครึ่งชั่วโมงไปทำงานต่อ ต้นเดือน ตี 2 ค่อยกลับบ้านก็มี เจ้านายไม่รู้ มีแต่ยามกับกล้องวงจรปิดที่เห็น) มา 7 โมงเตรียมลูกไปเรียน เราทำงาน ชีวิตเป็นอย่างนี้ 3 เดือน "ศรีทนได้ " แต่ลูก ป่วยเรื้อรังป่วยจริงป่วยจัง ป่วยใจ(อยากอยู่กับแม่) ขอเอาไปเลี้ยงที่ทำงาน(ทำงานได้เจ้านายก็ยอม) ลูกมีความสุขขึ้น แต่แม่จะตาย แยกร่างไม่ถูก ตัดใจลาออก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฐานะดี ห้องเช่า ข้าวซื้อ แต่มันต้องเลือกแล้ว... เลือกลูกนะ ขอความเห็นใจและให้เหตุผลกับพ่อของลูก จะต้องประหยัดเพื่อช่วยผ่อนแรง
หาอะไรทำ นิดหน่อยพอมีรายได้ และเลี้ยงลูกเองฝึกช่วยเหลือตัวเอง เพราะเดี๋ยวก็จะต้องไปเรียนปีหน้าถ้าลูกพร้อม เลี้ยงไปทำโฮมสคูลไปด้วยนี่แหละ ว่างมากเพราะไม่ค่อยมีลูกค้า ถ้ามีแต่งานรีบงานเร่งก็ไม่เอา บอกเลยว่าลูกอ่อนเค้ารอได้ก็ทำให้ .... ลูกไม่ค่อยป่วย ไม่เรื้อรัง มีความสุข ไม่งอแง เล่นอะไรเล่น ไปไหนไปด้วยหมด ต่อยอดที่ทำ 2 ภาษาอีก (เจอต่อต้านแบบที่จะทำโฮมสคูลนี่แหละ) แต่ผ่านไปได้เพราะการได้ทำจริงเป็นการพิสูจน์ และทำให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและคนที่ต่อว่าต่อขาน พัฒนาการของลูก ดีมาก ๆ ทุกคนในครอบครัวบอกเลี้ยงเองเลย ดูหลักการ ขอจดทะเบียนเลยให้มันถูกต้อง ใจก็อยากจดตอนประถม แต่ ..
กระแสมากระทบจิตใจเด็ก ไม่ไปเรียนเลี้ยงควายเหรอ โรงเรียนมีนะ แม่แกก็เก่งเหลือเกิน เป็นครูเลยมั๊ย เอาลูกไปโรงเรียนเถอะ เดี๋ยวช่วยค่าเทอม ไม่มีตังค์ใช่ป่ะ ใคร ๆ ก็ไปทั้งนั้น มีที่ไหน เอาลูกเรียนที่บ้าน ฯลฯ
พฤษภา 56 พาลูกไปดูให้เค้าเลือกเอาว่าจะเอาที่ไหน แยมเอาที่ใกล้บ้านสุด ไกลกว่านั้นลูกไม่ไป ได้เข้าศูนย์เด็กเล็ก เพราะยังไม่ 4 ขวบ เดือนแรก เริ่มไม่อยากไป มีสารพัดเหตุผล ก็แก้กันไปคิดว่าสอนการอยู่ร่วมกันให้ลูก แต่จริงค่ะที่แม่สบายขึ้น มีเวลาทำสื่อ เตรียมให้ลูกตอนเย็น ลูก ก็ยังคงเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากแม่สม่ำเสมอ แต่เรื่องป่วยก็กลับมา อย่างอื่นพอรับได้ สู้ไหวแก้ไขไปเรื่อย ๆ แต่ลูกก็บ่นว่าแม่ที่โรงเรียนก็ดี แต่เรียนกับแม่ดีกว่า เรียนกับแม่นะ เป็นระยะ ๆ ตอนนี้เลยอยากปกป้องลูกด้วยการจดทะเบียนในระดับอนุบาล ซึ่งมั่นใจว่าแม่ทำได้ และจะดีมากกับความต่อเนื่องและพัฒนาการของลูก
ไม่ได้คาดหวังแต่ตั้งความหวังไว้และจะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้ ถูกผิดไม่สำคัญ ต้องลองทำดูมีลูกเป็นกำลังใจ และขอขอบพระคุณพื้นที่นี้ที่ได้ให้ความรู้ ให้ช่องทางที่จะเดินทางต่อไป