จากสถิติ แม้แต่ประเทศที่หลายๆ คนเชื่อกันว่าสามารถจัดการศึกษาได้ดีเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ฟินแลนด์ ล้วนแต่เป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายในระดับที่สูงมาก หากจะวัดกันด้วยตัวเลขนี้ การศึกษา หรือสภาพเศรษฐกิจ อาจไม่ใช่คำตอบ คำตอบสำหรับปัญหาหนึ่ง หรือสิ่งที่ดีสำหรับเหตุผลหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ "ดี" สำหรับอีกเหตุผลหรืออีกปัญหาหนึ่ง
การนำลูกออกมาทำบ้านเรียน แต่ละคนมีความคิดหรือความคาดหวังที่แตกต่างกัน บางคนออกมาด้วยความจำเป็น เช่นลูกเจ็บป่วย หรือต้องย้ายถิ่นที่อยู่หรือไม่สะดวกในการเไปเรียน หรือกระทั่งไปก่อเรื่องก่อราวมา ...ตอนทำบ้านเรียนใหม่ๆ พอบอกออกไปว่าลูกเรียน homeschool มีคนถามด้วยว่า "ลูกของพี่ไปต่อยใครมาเหรอ" จนงงไปแวบหนึ่ง พอถามไถ่ใจความถึงได้เข้าใจว่าในความคิดของคนถาม homeschool มีได้สองสาเหตุคือไปก่อเรื่องแล้วโดนไล่ออก หรือท้อง
ประถมศึกษาช่วงชั้นที่สอง ประมาณป.4-ป.6 หรืออายุ 9-12 ปี ช่วงนี้มีความแตกต่างจากประถมต้นค่อนข้างมาก เด็กๆ มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ แตกต่างจากช่วงก่อนที่ยังมีลักษณะแบบเด็กเล็กอยู่มาก รวมถึงเด็กที่เพิ่งมาทำบ้านเรียนในช่วงนี้ก็มีลักษณะแตกต่างกับเด็กที่ทำบ้านเรียนมาตั้งแต่ต้น
เมื่อคิดจะทำ homeschool ระดับประถม เรื่องทางกฎหมายและเรื่องวุฒิการศึกษาก็จัดการไปตามลำดับครับ บางคนก็ราบรื่น บางคนก็ติดขัดบ้าง เร็วช้าต่างกัน แต่ถ้าจะจดทะเบียนให้ได้ ยังไงก็ต้องได้ครับ แทบไม่มีกรณีที่จดทะเบียนไม่ได้ มีแต่กรณีที่เลิกล้มไปก่อน บางคนติดเงื่อนไขเช่นพ่อแม่ไม่มีวุฒิการศึกษา หรืออยู่ห้องเช่า หรือเดินทางบ่อย หรือยากจน หรือทำงานทั้งคู่ ...ไม่ใช่ประเด็นที่เจ้าหน้าที่จะไม่รับจดทะเบียนครับ ถ้ายืนยันจะทำ ต้องทำได้ เป็นสิทธิของพ่อแม่ผู้จัดการศึกษาตามกฎหมายเลย
นำทางอายุ 12 ปี ขึ้น ป.6 แล้ว ยังไม่เคยมีตารางเรียนเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักครั้ง วันนี้ได้เวลาเริ่มเรียนเป็นเรื่องเป็นราว (สักที) ตารางเรียนประจำปีการศึกษา 2562 เปิดเผยให้พอทราบคร่าวๆ ดังนี้
มองผ่านชีวิตลูกที่โฮมสคูลมาได้ 7 ปีเต็ม เห็นรายละเอียดในความสัมพันธ์ของเด็กๆ ถามลูกเมื่อไรรายชื่อเข้มครามจะขึ้นอันดับแรกเสมอ ทำไมนะ จะว่าไปแล้ว นี่อาจจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์กันในแบบของคนยุคนี้ก็ได้นา ลองนึกดูดีๆตอนนี้เราเหลือเพื่อนที่เคยรู้จักกันในสมัยเรียนสักกี่คน น้อยแน่ๆ ด้วยวิถีชีวิตทำให้เราต้องแยกย้ายกันไป แต่นั่นแหละ ใช่ว่าเพื่อนในวัยเด็กจะไม่สำคัญ เพื่อนในวัยเด็กวัยเรียนมีความสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ เพื่อจะได้รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มองจากจุดนี้เมื่อออกจากโรงเรียน เริ่มโฮมสคูลก็ได้พาลูกเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง และทุกกิจกรรมเราต้องถอดบทเรียนเสมอ เพื่อใช้สังเกตทั้งการเรียนรู้และการเข้าสังคม ซึ่งช่วยทำให้พ่อแม่เข้าใจพื้นฐานและวิธีการเรียนรู้ของลูกมากขึ้น
การจดทะเบียนบ้านเรียนประถมศึกษามีได้หลายรูปแบบครับ
1. ไปจดทะเบียนที่สำนักงานเขตการประถมศึกษาใกล้บ้าน ถ้าในกรุงเทพฯ ก็ถ.ศรีอยุธยา ถ้าต่างจังหวัดก็มักจะอยู่ที่ศูนย์ราชการหรือโรงเรียนประจำจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่ดูแลจะเป็นฝ่ายส่งเสริมการศึกษา ไปปรึกษาหรือขอเอกสารก่อนล่วงหน้าได้ครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย
ถ้าเด็ก 0-4 ขวบ เริ่มต้นทำ homeschool ไม่ต้องทำอะไรครับ ถ้าอยู่บ้านก็อยู่ต่อไป ถ้าไปโรงเรียนก็แค่หยุดไป
จะทำ homeschool พ่อแม่ต้องสอนทุกวิชาเลยหรือ...หรือบางคนก็เชื่อว่าพ่อแม่ต้องเก่ง ต้องมีความรู้มาดีมากเป็นพหูสูตรถึงจะสอนลูกได้
homeschool ไม่ได้มีกฎตายตัวครับว่าพ่อแม่ต้องสอนลูกเอง ชื่อตามกฎหมายไทยตั้งไว้สวยงามว่า "การจัดการศึกษาโดยครอบครัว" ในความหมายคือพ่อแม่เป็นผู้จัดการศึกษา ไม่ใช่ผู้สอน
เวลาทองของชีวิตลูก ความทรงจำล้ำค่าของพ่อแม่
บางคนคิดว่าคนจะมาทำบ้านเรียนได้ก็ต้อง "ค้นพบตนเอง" ได้ก่อน หรือบางคนก็คิดว่าจะมาทำบ้านเรียนเพื่อจะได้ "ค้นพบตนเอง" ได้เร็ว
คำถามหนึ่งที่เด็กๆ โดนถามกันบ่อยคือ ค้นพบตนเองได้อย่างไร หรือกระทั่ง ถนัดแนวไหน วันก่อนอเล็กซ์เพื่อนพี่เข้มมาเล่าว่ามีคนมาถามว่าจะค้นพบตนเองได้อย่างไร ...คือเค้าอยากให้ลูกค้นพบตนเองตั้งแต่ 2 ขวบ?
พอตัดสินใจแน่แล้ว เอาแน่แล้วกับ homeschool จะไม่ไปโรงเรียนละ ทีนี้พอถามหลายๆ คนเค้าก็บอกว่าต้อง "เขียนแผน" เพื่อไปขออนุญาตจัดการศึกษาโดยครอบครัว เขียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลยันม.6 ...เขียนทีละช่วงชั้นนะครับ อนุบาล ประถม มัธยม ไม่ใช่เขียนทีเดียวอนุบาลถึงม.6
ฟังแล้วยากมาก หลายคนจะท้อก็ตั้งแต่ตรงนี้ละ เขียนยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เรียนมา ตัวอย่างก็ไม่มีให้ลอก
คำถามคือ ถ้าตกลงใจจะจัดการศึกษาโดยครอบครัวแล้ว พ่อแม่ลูกต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
เริ่มจากลูก ส่วนมากก็คิดกันว่าเด็กจะต้องมีวินัย จัดการตนเองได้ เรียนรู้เองได้ ขยันอดทนเข้มแข็ง หรือต้องค้นพบหรือมีแนวทางของตนเองแล้ว
เมื่อคิดว่าจะทำ Homeschool จะเริ่มอย่างไรดี
จริงๆ จะไปโรงเรียนหรือจะบ้านเรียน ตอนเริ่มต้นนี่ก็ยากพอกัน
ถ้าไปโรงเรียน ทั่วๆ ไปก็คงไปดูโรงเรียน หรือไปงาน openhouse ของเค้า ดูแนวทางดูอะไรไป ซึ่งก็ต้องเลือกเหมือนกัน จะเป็นโรงเรียนรัฐบาลหรือเอกชน งบประมาณเท่าไร ไทยหรืออินเตอร์ ห้องกิฟต์หรือห้องธรรมดา วิถีพุทธ คริสต์ อิสลาม สองภาษาสามภาษา หรือมีออปชั่นพิเศษอะไรบ้าง
คำถามเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดยครอบครัวหรือ homeschool มีมาเรื่อยๆ ครับ ส่วนที่ยากคือ "การเริ่มต้น"
ซึ่งคำตอบคือ "เริ่มได้เลย ถ้าไปโรงเรียนอยู่ก็แค่หยุดไป ถ้ายังไม่ไป ก็แค่ไม่ต้องไป"
คนทำบ้านเรียนมักจะได้ยินคำพูดประมาณว่า ต้องมีเงินถึงจะทำบ้านเรียนได้ พอมีกระทู้แบบนี้ก็มักจะมีพ่อแม่บ้านเรียนมายืนยันว่า จะมีมากมีน้อยสามารถทำได้หมด ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ จุดแข็งที่เห็นตรงกันก็คือ คนทำบ้านเรียนสามารถจ่ายเท่าที่ "มี" และจ่ายในสิ่งที่ตรงกับความต้องการของเราจริง ๆ เราไม่ต้องจ่ายค่าสระว่ายน้ำ ห้องแอร์ ตึกใหม่ ช่วงไหนกรอบ รายได้น้อยก็สามารถงดชั้นเรียนของลูกได้ มีเงินค่อยว่ากันใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจริง ๆ ผมไม่ค่อยเห็นใครเปิดเผย เพราะอาจจะไม่ค่อยได้ย้อนคิดหรือ แต่ละบ้านก็จัดการเรียนรู้ไป จะมาเปิดเผยเรื่องเงินเรื่องทอง เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องอวดรวย หรืออ้าวบ้านนี้ไส้แห้งนี่น่ากันไป หลังจากคิดอยู่นาน เขียนทิ้งไว้หลายเดือน วันนี้เลยตัดสินใจเปิดเผย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านอื่น ๆ ครับ
เมื่อคิดย้อนไป ผมพบว่าเวลาที่เราเริ่มมีลูก กับเวลาเราเริ่มต้นจัดการศึกษาให้กับลูกมีจุดร่วมเหมือนกันคือ เราไม่รู้ว่าเราจะเลี้ยงลูกยังไง ต้องทำอะไรบ้าง เช่นเดียวกันกับการจัดการศึกษา เราไม่รู้ว่า เราต้องทำอะไร จัดการเรียนการสอนให้ลูกอย่างไรบ้าง หลังจากนั่นเราก็จะทำเหมือน ๆ กันคือ ไปหาหนังสือมาอ่าน สอบถามพ่อแม่หรือเพื่อนฝูงที่มีประสบการณ์มาก่อน ประมาณเลี้ยงลูกตามหนังสือ และผมคิดว่ามันเป็นกระบวนการที่ดี
ผมคิดว่าเราหลาย ๆ คนรวมถึงตัวผมเองติดการเขียนรายงานเพื่อส่งครู หรือเพื่อทำวิทยานิพนธ์ เรามักถูกกำหนดให้เขียน จนไม่อยากเขียน เขียนด้วยเหตุผลที่แห้งแล้ง จนลืมแก่นของการเขียนจริงๆ แท้จริงแล้วเรามีเหตุผลมากมายที่จะเขียน เพื่อบันทึกช่วงเวลาของเรา เพื่อสื่อสารบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ของเรา ฯลฯ
เล่านิดนึงเพื่อเป็นบันทึก เด็กๆ คิดว่าทุกคนน่าจะชอบการวาดรูประบายสีอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวก็ชอบเหมือนกันและทำได้ค่อนข้างดี ดีคือดีในแง่การระบายสีเข้ากรอบ วาดรูปก็ก็อปปี้เหมือนเด๊ะอะไรแบบนี้ แต่ครีเอทสร้างอะไรใหม่ๆ เองไม่เป็น ถึงขั้นเคยบอกว่าชอบวาดอยากเลือกเรียนสถาปัตย์ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ก็ไม่ได้มีความต้องการแรงกล้าอะไรแบบนั้น เพราะความเป็นเด็กเรียนอ่อนนมาก ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไร (แน่นอนว่าไม่ติดหรอกเพราะว่าผลการเรียนระดับเกรดเฉลี่ย 1.21)
เพราะคำถามอาจสำคัญกว่าคำตอบและนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ พออยากรู้ก็ต้องเริ่มต้นหาคำตอบ การตั้งคำถามจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของกระบวนการเรียนรู้ และมันเป็นสิ่งสำคัญเพราะเรากำลังเป็นแบบอย่างให้กับลูก ถ้าตัวเราเองไม่รู้จักที่จะเรียนรู้ เราจะจัดการเรียนรู้ให้กับลูกได้อย่างไร