เคยดูหนังจีนประเภทเจ้ายุทธจักรไหม พระเอกไปขอตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ เพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชากำลังภายใน แต่อาจารย์ไม่ยอมสอนวิชากำลังภายในให้ ไล่ไปหาบน้ำปีสองปี ไล่ไปเอาไม้ตีนุ่นอีกสองปี หลังจากนั้นจึงได้เรียนวิชากำลังภายในสมความปรารถนา และก็ได้ล่วงรู้ในที่สุดว่า สิ่งที่อาจารย์ให้ไปหาบน้ำ ให้ไปตีนุ่น ที่แท้คือพื้นฐานวิชาที่ต้องมีก่อนจะฝึกวิชาขั้นสูง
ผมและภรรยาเมื่อเห็นสีหน้าของลูก ก็รู้ได้เลยว่าเรามาผิดทางแล้ว จึงรีบเงียบสงบปากสงบคำ และไปคุยกันตามลำพังทีหลัง เรามีความเห็นตรงกันว่าลูกต้องการผู้ฟังที่ดี ต้องการระบายความในใจ ต้องการกำลังใจ ไม่ได้ต้องการให้คนมาตัดสินหรือให้คำแนะนำ ณ เวลานั้น
จะว่าไปแล้วการจัดสอบหลายๆ ครั้ง นอกจากจะมีข้อเสียตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะ การประกาศผลสอบแต่ละครั้ง จะมีการแจ้งคะแนนสอบเป็นรายบุคคลด้วย ทำให้เด็กสามารถประเมินผลความสามารถของตัวเองได้ชัดเจน และหลอกตัวเองไม่ได้ ซึ่งต่างจากการสอบในสมัยก่อน ที่ปล่อยให้คะแนนสอบเป็นปริศนา และเป็นข้ออ้างคาใจของนักเรียนว่า ฉันทำได้ ฉันน่าจะสอบติด
เมื่อฤดูกาลสอบใกล้เข้ามาถึง ข่าวการรับสมัครสอบก็เริ่มทยอยออกมา ปัญหาก็เริ่มปรากฏ!! ลูกชายผมติดตามเฉพาะการสอบแพทย์โดยเฉพาะ การสอบเข้าเรียนแพทย์ในปัจจุบันแตกต่างจากสมัยก่อนอย่างมาก สมัยก่อนรอสอบเอนทรานซ์อย่างเดียว หรือหากใครอยู่ในพื้นที่ ที่ทางมหาวิทยาลัยมีการให้สิทธิ์พิเศษรับเด็กในภูมิภาคของตัวเองก่อน ก็จะได้สิทธ์สอบอีก 1 ครั้ง เรียกกันว่าสอบโควต้า สมัยผมมีโอกาสสอบโควตา 50% เป็นด่านแรก นั่นคือเด็กที่มีเกรดเฉลี่ยหรือผลการเรียนครึ่งบนของทุกโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสิทธิ์สอบ และหากผลสอบออกมาแล้ว ใครยังไม่มีที่เรียน ก็สามารถลุ้นอีกรอบในการสอบเอนทรานซ์ครั้งใหญ่ ซึ่งจะเป็นสนามสอบที่แข่งกันของเด็กทั่วประเทศ แต่ปัจจุบัน หลายมหาวิทยาลัย หลายคณะมีการรับตรงนักศึกษาเฉพาะคณะของตัวเองด้วย บางมหาวิทยาลัยก็เปิดกว้างให้กับเด็กทั่วประเทศ บางมหาวิทยาลัยก็กำหนดพื้นที่เฉพาะ แล้วนักเรียนอีสานมีสิทธิ์สอบเข้าแพทย์ที่ไหนได้บ้าง?
จะว่าไปแล้ว ผมไม่ได้ทำใจง่าย ๆ ที่เห็นลูกอ่านหนังสือไม่เต็มที่ ในแบบสไตล์ของเขา แถมยังมีเวลาปันใจให้กับอินเตอร์เน็ต อดที่จะเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ กับตอนที่ผมสอบเอ็นทร้านซ์เข้าเรียนแพทย์ ที่ผมหมกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน ห้องที่ทั้งร้อน และไม่มีแอร์ จะออกมาเฉพาะตอนทานข้าว พยายามอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด ง่วงมากทนไม่ไหวก็มาอาบน้ำ จำได้ว่าอาบน้ำวันนึงเกินกว่า 5 ครั้ง เพื่อขับไล่ความง่วงเหงาหาวนอน ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจจะโทรศัพท์หาใคร
ช่วงที่ผมต้องอ่านหนังสือเพื่อมาสอนลูกในช่วง 6 เดือนแรก เป็นช่วงที่เหตุการณ์ราบรื่นดี ลูกตั้งใจเรียน ขยันทำแบบฝึกหัด อุปสรรคที่เกิดขึ้นจะเป็นในส่วนของผมเอง ทีแรกวางแผนไว้ว่าจะสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้จบรวดเดียวเป็นวิชาแรก แต่เมื่อลองทำดูก็พบปัญหา เพราะลูกไม่สามารถเรียนต่อเนื่องได้ หากไม่ได้ทำแบบฝึกหัด เนื้อหาที่ได้เรียนไปก่อนหน้า เพราะจะไม่คล่องแคล่ว และไม่สามารถเข้าใจในเรื่องใหม่ที่จะเรียนเพิ่มได้
เป็นช่วง 1 ปีที่เหนื่อยมาก ที่ต้องมาอ่านเนื้อหาวิทยาศาสตร์มัธยมปลายที่เราทิ้งไปนาน และผมก็ไม่ได้ชำนาญทุกเรื่องทุกวิชา เพราะตอนที่สอบเข้าแพทย์ได้ วิชาที่ถนัดมีเพียงแค่ 2 วิชาคือ ชีววิทยาและฟิสิกส์ ที่ชำนาญจนมั่นใจได้ว่าจะได้ 80% ขึ้นไป ส่วนวิชาอื่นๆก็ขอให้ได้คะแนนมารวมกัน แล้วได้คะแนนเฉลี่ยขั้นต่ำของการสอบติดแพทย์ก็พอ
"ป๊าครับผมตัดสินใจแล้ว ผมจะสอบเข้าแพทย์"สิ้นประโยคบอกเล่าที่ลูกชายคนโตเอ่ยกับผม ผมรู้สึกกังวลใจขึ้นมาในทันที มองไม่เห็นความเป็นไปได้ ที่เค้าจะบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพราะตอนนี้เค้าเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นเด็ก HomeSchool ที่ไม่ได้เรียนเหมือนกับคนอื่นๆที่เน้นวิชาการเป็นหลัก
อีกด้านหนึ่งภาคผนวกถือว่าเป็นส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาหลัก มีความสำคัญน้อยก็ทำให้เราได้ยืนยันปรัญชาการศึกษาของเรา และถ้าทำได้ตลอดรอดฝั่ง จนลูกจบไม่มีปัญหาใด ๆ ก็จะเป็นการยืนยันและพิสูจน์ได้ว่า เราสามารถสร้างหลักสูตรแบบนี้ได้บนฐานของ ข้อกำหนด กฎระเบียบที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
อย่างเช่นในรูปแบบ unschooling จะไม่เน้นที่การสอน แต่จะเน้นประสบการณ์ และการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน พ่อแม่อาจจะเน้นไปที่การเปิดประสบการณ์ต่างๆ ให้ลูก หรือสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้ลูก แล้วให้ลูกสร้างความรู้หรือสร้างการเรียนรู้ขึ้นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างที่อ่านหนังสือ พ่อแม่เต๋าเต๋อจิง ผมเกิดความคิดในหัวว่าหนังสือเล่มนี้ดีจริง ๆ ถ้าแนะนำหนังสือเลี้ยงลูกได้เล่มเดียวจะแนะนำเล่มนี้ สักพักสมองก็คิดต่อว่าจริงหรือพอแล้วหรือ.......คำตอบก็คือไม่น่าจะพอนะ ทำให้ได้มาอีกเล่มหนึ่งคือ “How To Talk So Kids Will Listen & Listen So Kids Will Talk“ (ต่อไปขอเรียกว่า How To Talk So Kids Will Listen)
เมื่อก่อนเคยคิดว่าสิ่งเดียวที่จะสอนลูกในด้านการเรียน (แบบทั่วไป) คือ การอ่าน เพราะคิดว่าเมื่ออ่านออกแล้ว ทีนี้อยากจะเรียน อยากจะรู้ อยากจะอ่านอะไร ก็จะได้จัดการตัวเองได้ ไม่ต้องรออีกต่อไป เคยสอน Phonics ภาษาอังกฤษนำทางบ้าง สอนอยู่ไม่นาน กะคร่าวๆ ก็ประมาณ 3-4 เดือน (แบบไม่ทุกวัน ไม่สม่ำเสมอ แล้วแต่จังหวะลูก เหมือนการเล่นอื่นๆ)
ระดับอนุบาลไม่มีอะไรมาก เลี้ยงลูกธรรมดา ให้เค้าวิ่งเล่นออกนอกบ้าน ให้ร่างกายแข็งแรง เจอะเจอผู้คนบ้าง เน้นพัฒนาร่างกาย (เพราะสัมพันธ์กับสมอง) ยังไงก็ผ่านเกณฑ์อยู่แล้ว เพราะหลักสูตรเขียนมาได้กว้าง รองรับพัฒนาการของเด็กตามวัย
ในขวบปีที่ห้านี้ แม่ก็เห็นเขาวาดมากขึ้น กล้าวาดมากขึ้น จากครึ่งปีก่อนหน้านี้ที่วาดภาพน้อย ไม่ค่อยอยากวาด แม่เดาเอาว่า อั๊ตคงรู้สึกว่าควบคุมมือให้วาดได้ดังใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ ภาพวาดของอั๊ต น่ารัก แสดงสิ่งที่อั๊ตชอบและสนใจได้มีรายละเอียดดี
ทั้งหมดนี้คือความเห็นส่วนตัวล้วนๆ นะคะ เราว่าพ่อแม่ที่ทำโฮมสคูล สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด (อย่างน้อยอันนี้สำหรับตัวเองนะคะ) ก็คือเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับเด็ก