นำทางบันทึก : The Ghost of Karl Marx
ข้าวสาลีของพวกคุณแพงเกินไป! ฟาร์มเมอร์แห่ง Westphalia ที่ใช้เครื่องทำสวนรุ่นใหม่ขายให้ฉันถูกกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะซื้อจากพวกเขาไม่ซื้อจากคุณแล้ว! อย่ามามองหน้าฉันแบบนั้นมันไม่ใช่ความผิดของฉัน นี่คือกฎของตลาด!
สวัสดียามเช้า! ไม่ต้องกลัวมันก็แค่ผ้าใบฉันชื่อ Karl Marx ฉันไม่ใช่คนหนุ่มสาวหรอกนะ ในไม่ช้าฉันจะฉลองวันเกิด 200th ของฉัน! แต่อย่าคิดว่าฉันตายเพื่อร่อนไปมาเหมือนผี! อย่าไปเชื่อพวกที่ชอบพูดเรื่องนี้และชอบย้ำมัน มันคือฉันเองโอเคโอเค เลือดเนื้อทั้งหมดของฉันส่อนอยู่ไต้ผ้าไบนี้! ผ้าไบอันนี้แค่เอาไว้หลอกพวกที่ตามล่าฉันเพื่อรางวัล!
 
เพราะงั้นฉันเลยต้องหนีเหมือนกระต่ายที่ทิ้งโพรงของเขาเพราะถูกหมาไล่ตาม จากเบอร์ลินไปปารีสจากปารีสไปบรัสเซลส์จากบรัสเซลส์ไปลอนดอนต้องคอยหนีจากการไล่ล่า ในปัจจุบันผ้าไบอันนี้ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้หลอกพวกเขาเดี่ยวพวกคุณก็จะได้เห็น! พวกเขาคิดว่าฉันตายแล้วและกลัววิญญาณของฉัน...
 
ฉันกำลังทำอะไรอยู่ไต้ผ้าไบนี้น่ะเหรอ? อืมมันเรื่องมันยาวน่ะ ส่วนหนึ่งก็เพราะการต่อสู้ระหว่างชนชั้น เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่พวกเราจะพยายามทำให้จบลงด้วยความสุข กับผลรับที่น่ายินดี ไม่งั้นสิ่งที่พวกเราทำลงไปจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่สามาถรทำให้พวกเขามีความสุขได้!
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก่อนวันเกิดฉันไม่นานในภูมิภาค Silesia ภูมิภาคในเยอรมันนีบ้านเกิดของฉัน ครอบครัวชาวนายากจนใน Silesia ที่หลบหนีจากการปกครองของลอร์ดที่ขี้เกียจและโลภมากมาทำฟาร์มของตัว และวันหนึ่งพวกเขาก็ไปที่เมืองเพื่อขายข้าวสาลี พ่อค้าก็บอกพวกเขาว่า:
 
"ข้าวสาลีของพวกคุณแพงเกินไป! ฟาร์มเมอร์แห่ง Westphalia ที่ใช้เครื่องทำสวนรุ่นใหม่ขายให้ฉันถูกกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะซื้อจากพวกเขาไม่ซื้อจากคุณแล้ว! อย่ามามองหน้าฉันแบบนั้นมันไม่ใช่ความผิดของฉัน นี่คือกฎของตลาด!"
 
ชาวนาแห่ง Silesia กลับบ้านไปด้วยความโกรธแค้น ไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขากินข้าวน้อยลงและหนึ่งปีหลังจากนั้นพวกเขาก็เลยต้องขายบ้าน เมื่อผู้รับเหมามาถึงเพื่อซื้อบ้านเขาก็บอกพวกเขาว่า:
 
"บ้านของพวกคุณแพงเกินไป! ฟาร์มเมอร์แห่ง Pomeranian ที่ได้ทิ้งไร่ของพวกเขาขายบ้านให้ฉันถูกกว่า มีอะไรอีกไม่มีใครอยากได้กระท่อมเล็กๆแบบนี้หรอก! เอาเศษเหรียญพวกนี้สำหรับค่าบ้านไปและไปหางานทำในเมือง! แล้วก็อย่ามองฉันแบบนั้นมันไม่ใช่ความผิดของฉันมันคือกฎเกณฑ์ของตลาด!"
 
ชาวแห่ง Silesia ก็ได้ไปที่เมือง ไม่ช้าก็เร็วเกือบทุกคนต้องจบลงที่เมือง พวกเขาแทบจะไม่เป็นเจ้าของอะไรเลย แทบจะไม่ได้นำอะไรมาเลยนอกจากเสื้อผ้า,เฟอร์นิเจอร์ที่มีเพียงนิดหน่อยกับที่ทอผ้าเก่าๆที่พวกเขาใช้ทำเสื้อผ้าและผืนผ้าจากลินินหรือฝ้าย
 
และนี่คือชีวิตในเมือง พวกเขากลายเป็น นักทอผ้าหรือที่จริงแล้วก็คือผู้ผลืตเสื้อผ้านั่นเอง ทั้งวันทั้งคืนพวกเค้าทอผ้าและก็ทอผ้า เดือนปีผ่านไป ทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว มีหลังคาคุ้มหัว ซื้อเฟอร์นิเจอร์ และไม่ละทิ้งความหวัง
และวันที่ดีวันหนึ่งจู่ๆ พ่อค้าขายเสื้อผ้าที่พวกเขาขายผ้าให้ ก็บอกว่า:
 
"เสื้อผ้าของพวกคุณแพงเกินไป! ที่โรงงานเสื้อผ้าแห่ง Franconia ขายผ้าของพวกเขาให้ฉันถูกกว่า! ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะซื้อจากพวกเขาไม่ซื้อของคุณแล้ว! สำหรับตัวคุณเอง ไปของานที่โรงงานเถอะ แล้วก็อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาของคุณ นี่คือความยากลำบากที่แท้จริงของตลาด"
 
ในความสิ้นหวัง ช่างทอผ้าแห่ง silesia ไปโรงงานเสื้อผ้า เมื่อพวกเขามาถึงพวกเขาก็เห็นฝูงชนจำนวนมากข้างหน้าอาคาร
ชาวนาเหมือนพวกเขาที่ถูกบังขับให้ทิ้งแผ่นดินมา,ช่างฝีมือที่ถูกทำลายอาชีพโดยโรงงาน,คนหนุ่มสาวที่ใช้วาสนาอันมีอยู่น้อยนิดอย่างเปล่าประโยชน์,และแม้แต่พ่อค้ารายย่อยที่ไม่เข้าใจกฎของตลาด
ทุกคนมาที่นี่ทำให้เกิดการขยายโหญ่โตของชนชั้นแรงงานที่เรียกว่าชนชั้นกรรมชีพ คนพวกนี้ไม่เหลืออะไรไว้ใช้ทำงานเลย นอกจากแรงกาย
 
หัวหน้าคนงานผู้รับผิดชอบการจ้างงานยืนต่อหน้าพวกเขาบนแท่น
เขากล่าวด้วยเสียงอันทรงพลังและมั่นใจในตัวเองว่า:

"ที่นี่มีคนงานมากเกินไป เราไม่ต้องการคนงานทั้งหมดนี้ เราจะจ้างเฉพาะผู้ที่จะทำงานโดยรับค่าจ้างต่ำสุดได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราจะรับแค่พวกนั้น ไม่รับหมดทุกคน ไปยื่นข้อเสนอมา แล้วก็อย่ามองฉันแบบนั้นมันไม่ใช่ความผิดของฉัน นี่แหละกลไกลตลาด"
 
คนงานคนแรกที่ค่อนข้างแก่เสนอค้าจ้างที่ต่ำมากสำหรับกำลังที่น้อยของเขา,คนงานคนที่สองชายหนุ่มที่แข็งแรงกว่าแต่อดอยาก และเขาก็ได้เสนอค้าจ้างที่ต่ำอย่างน่าขัน และคนงานคนที่สามพาเด็กๆของเขาไปข้างหน้าและบอกว่าเขาไม่คิดเงิน ในฐานะคนงานเสริม ถ้าพวกคุณจ้างเรา
มันคือการแข่งขันว่าใครจะทำงานมากที่สุดเพื่อค่าจ้างต่ำสุด!
 
ตอนนี้คือตอนที่ช่างทอผ้าเบื่อหน่าย
พวกเขาพอแล้วสำหรับการตลาดนี้ พวกเขาไม่รู้อะไรเลย แต่เหมือนมีนักมายากลที่ปลุกความโกรธของนรก ขโมยไร่ของพวกเขา,บ้านของพวกเขา,งานของพวกเขา,และตอนนี้อยากจะขโมยร่างของพวกเขา,และแรงกายของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะต่อต้านใคร พวกเขาจึงต้องเปิดศึก พวกเขาตัดสินใจที่จะเอาแท่นที่หัวหน้าคนงานยืนอยู่ออกก่อนเป็นสิ่งแรก คนที่กลัวก็ไป หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าไปที่โรงงานผลิตเสื้อผ้า ทำลายเครื่องจักรผลิตเสื้อผ้าราคาถูกที่ทำให้พวกเขาไร้ประโยชน์ พวกเขาจุดไฟเผาเสื้อผ้าด้วยความโกรธแค้น ในตอนที่ประกายไฟล่องลอยในอากาศช่างทอผ้าที่น่ารังเกียจได้ตระหนักว่าพวกเขาถูกล้อมอย่างสมบูรณ์โดยพวกทหารด้วยปืนที่ชี้ไปที่พวกเขา
 
หัวหน้าคนงานวิ่งไปแจ้งแก่หัวหน้าผู้ที่แจ้งกับผู้จัดการผู้ที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ผู้ที่ตรงดิ่งไปหากษัตริย์เพื่อแจ้งด้วยตนเอง
 
"เจ้าพวกนักทอผ้ากระจ้อยร่อย คนขายผ้าทอมืออยากจะทำลายโรงงานที่ไม่ใช่ของตัวเอง พวกเขาท้าเรา ฉันหมายถึงอะไรหนะเหรอ? พวกเขาละเมิดสิทธิซึ่งเป็นรากฐานของสังคมสมัยใหม่ของเรา สังคมการตลาดของเรา! เราต้องหยุดพวกเขา! สั่งกองทัพทหารของเราให้ไล่พวกกบฏไปหรือจับกุมพวกมัน และถ้าพวกมันปฏิเสธที่จะยิงอาวุธ บอกพวกมันด้วยว่านี่ไม่ใช่แค่คำสั่งจากพระราชาแต่เป็นไปตามตลาดเองด้วย"