สอนอย่างไร
ให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ จากวารสาร วิทยบริการปีที่5 ฉบับที่2 พค-สค 2538
ผมเป็นคนที่โชคดี โชคดีที่มีโอกาสได้เป็นครูอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมืองที่เพียงเอ่ยชื่อใครๆ ก็กลัว กลัวตามข่าวที่ปรากฏอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
โชคดีที่ได้สอนเด็กๆ ที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งนิยมพูดและใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง พูดภาษามลายูท้องถิ่นเป็นภาษาแม่เป็นภาษาที่หนึ่ง
โชคดีที่เข้าไปสอนเด็กๆ ที่ใครๆ บ่นว่าโง่ ซน เกเร ไม่เอาถ่าน
ผมเข้าไปสอนเด็กๆ เหล่านี้เพียงเพื่อจะพบว่า แท้จริงแล้ว ผมยังไม่เคยเข้าใจเด็กเลย
แล้วผมจะให้เด็กเหล่านั้นสอนผม[break]
ครับ ใช่เด็กเป็นครูที่วิเศษที่สุด สำหรับผม
ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมจะสอนเด็กอย่างไร
ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมจะเอาอะไรมาสอนเด็ก
ผมคิดอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่ผมจะสอนเรื่องนี้ให้เด็ก
ผมคิดอยู่เสมอว่า แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเกิดการเรียนรู้แล้ว
แล้วเด็กนั่นแหละ เป็นผู้สอนผม
เด็กสอนผมอย่างไร ลองอ่านต่อไปสิครับ
ชั่วโมงสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผมเข้าไปสอนเด็กๆ
“นักเรียนลองอ่านให้ครูฟังหน่อยครับ” พูดพลางผมก็ชี้ให้เด็กๆ อ่านข้อความบนกระดานดำ
“ปลวกชอบอยู่ที่ไหน” เสียงเด็กๆ อ่านขึ้นพร้อมกัน ผมรู้ดีว่าเด็กบางคนอ่านข้อความนี้ไม่ออก แต่เมื่ออ่านเป็นกลุ่มแล้ว เด็กจะอ่านออกตามเพื่อน (แต่ความจริงเขาก็อ่านไม่ออก) ผมจะไม่ถามว่าใครอ่านคำไหนไม่ออกบ้าง เพราะเดี๋ยวก็รู้เอง ผมถามเด็กต่อไปเองว่า
“บอกครูหน่อยได้ไหมว่า ปลวกชอบอยู่ที่ไหน”
เงียบเด็กๆ ไม่ตอบ ต่างคนต่างหันหน้าเข้าหากันแล้วยิ้ม มันเป็นอาการของเด็กที่ไม่รู้คำตอบ ผมเคารพในความไม่รู้ของเด็กๆ ทุกคน เพราะหน้าที่ของผมต้องสอนสิ่งที่เขารู้แล้วให้รู้ยิ่งขึ้น และต้องสอนสิ่งที่เขายังไม่รู้ให้รู้
เพราะฉะนั้นเมื่อเด็กยังไม่รู้ก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำให้เขารู้
“นักเรียนลองช่วยกันนึกสิครับว่า ปลวกมีมากที่ตรงไหน”
ตารอฟะห์ รีบยกมือขึ้นแล้วตอบว่า “ในป่าครู”
เก่งตารอฟะห์เก่งมาก ผมชื่นชมตารอฟะห์ พร้อมกับเขียนคำว่า ปลวกอยู่ในป่าให้เด็กๆ อ่าน สมหมาย เด็กหญิงชาวสุรินทร์ที่ติดตามพ่อแม่ ซึ่งมาทำงานที่โรงงานทำไม้ยาง ยกมือแล้วตอบว่า
“ปลวกอยู่ที่ไม้ใช่บ่”
ผมพยักหน้ารับคำตอบของสมหมายพร้อมกับเขียนบนกระดานดำอีก เด็กๆ ต่างช่วยกันตอบ ตามที่นึกขึ้นมาได้ ผมก็เขียนบนกระดานดำให้เขาอ่าน
ปลวกอยู่ในป่า
ปลวกอยู่ที่ไม้
ปลวกอยู่ในดิน
ปลวกอยู่ที่หิน
ปลวกอยู่ที่ตลาด
ปลวกอยู่ที่บ้าน
ปลวกอยู่ที่ต้นไม้
เด็กๆ ต่างออกมาอ่านคำที่เขียนบนกระดานดำ คำที่อ่านออกจะออกมาอ่านคนเดียว คนที่อ่านไม่ออกจะออกมาอ่านทีละสองถึงสามคน เมื่อทุกคนได้อ่านแล้วผมก็ถามต่อไปว่า
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปลวกชอบอยู่ที่ไหนและคำตอบของนักเรียนนั้นถูกต้องจริง”
“ผมรู้ครู” อาหะมะ ยกมือพร้อมกับบอกด้วยเสียงดังๆ
“รู้ได้อย่างไรอาหะมะ”
“ไปดูครู” เธอตอบอีกครั้ง
“จะไปดูไหมเอ่ย” ผมให้เด็กช่วยกันหาทางเลือกที่จะไปดูปลวก พูดพร้อมกับชี้มือไปที่คำที่เด็กๆ อ่านผ่านมา หมายถึง ให้เด็กๆ เลือกคำตอบจากข้อมูลที่เขาร่วมกันเสนอขึ้นมา ต่างบอกว่าจะไปดูที่บ้านบ้าง ที่สวน (สวนป่าหน้าโรงเรียน) บ้าง ที่ตลาดบ้าง
เด็กๆ ต่างให้เหตุผลว่าจะดูที่ไหนดี และลงสรุปว่าจะไปดูที่หน้าอาคารสร้างใหม่กับที่สวนป่าหน้าโรงเรียนเพราะใกล้ดี
แล้วเด็กๆ ก็สวมรองเท้าเดินแถวไปดูปลวกที่ข้างอาคารเรียนเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ แต่ยังมีเศษไม้ชิ้นเล็กๆ วางทิ้งอยู่อีก
เด็กๆ ต่างยกไม้ดู บางคนก็พบปลวก เขาตะโกนดีใจเรียกเพื่อนๆ มาดู
“เจอแล้วๆ” เด็กๆ วิ่งไปดู พออีกคนตะโกนก็วิ่งไปดูอีก ผมให้เด็กๆ ช่วยกันเก็บเศษไม้มากองรวมกัน และให้เขาสรุปได้ว่า
“ปลวกชอบอยู่ที่ไม้ผุ”
เศษไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นไม้ยางที่ผู้รับเหมาทำไม้แบบก่อสร้าง และเลื่อยตัดเป็นชิ้นสั้นๆ ไม่เท่ากัน บางชิ้นอยู่ในดินที่เปียกชื้นทำให้ผุเร็ว และมีปลวกอยู่
ผมให้เด็กดูบริเวณดินที่มีปลวกทำรังในไม้ผุว่าต่างกับดินบริเวณที่ไม่มีปลวกอยู่อย่างไร ปรากฏว่า เด็กสรุปได้ว่า
“ปลวกชอบอยู่ที่ไม้ผุ ที่ดินเปียก”
ผมให้เด็กเดินไปที่สวนป่าหน้าโรงเรียน เด็กๆ วิ่งไปดูต้นไม้ต้นละคน พอพบปลวกก็ตะโกนเรียกให้ไปดู และสุดท้ายก็สรุปได้ว่า
“ต้นไม้ที่ไม่สกปรก ปลวกไม่ชอบอยู่”
วันนี้ผมมีเรื่องปลวกอ่านอย่างจุใจ เด็กๆ เขียนส่งให้ผมอ่านทุกคน ตัวอย่างเช่น
ปลวก
ปลวกชอบอยู่ในดิน
ฉันอยู่ที่บ้านดูปลวก
ปลวกชอบอยู่ที่ต้นไม้ผุ เพราะตรงนั้นเป็นที่อยู่
เขาอยู่กันหลายตัว
ฉันไปบ้านยายเห็นปลวกอยู่ที่ไม้
พวกเขาทำรังทุกคน* พวกเขาก็จะนั่งด้วยกัน**
ฉันไปดูปลวกกับพ่อ
ด.ญ.ตารอฟะห์ หะยียูโซะ
ป.2 / 28 ก.พ. 38
* ทุกคน หมายถึง ทุกตัว** จะนั่งด้วยกัน หมายถึง อยู่ร่วมกัน
ปลวก
ปลวกชอบอยู่ในที่ไม้ผุๆ และชอบอยู่ในดินเปียกๆ ด้วย ฉันเห็นปลวกอยู่ในดิน มันเอาดินไปทำรัง มันชอบอยู่ในดินที่เปียกๆ มากมาย
ด.ญ.สมหมาย บุญพามา
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
ฉันเห็นปลวกที่ต้นไม้ และฉันเห็นปลวกที่ไม้ผุ และดินที่เปียก พอถึงตอนเย็นฉันชวนน้องไปดูปลวก พอน้องของฉันดูปลวกก็จะเอาปลวกมาเล่น ฉันบอกน้องฉันว่า เล่นไม่ได้ ฉันพาน้องของฉันกลับ เอาน้องของฉันไปเล่นกับเพื่อนๆ ฉันก็ไปดูปลวกต่อ
ด.ญ.โรสนานี กูวิง
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
ปลวกชอบอยู่บนต้นไม้ เพราะต้นไม่ผุ
ถ้าต้นไม้ไม่ผุ ปลวกก็ไม่มี ถ้าดินเปียก
ปลวกก็มี ปลวกนี้เป็นสิ่งสกปรกมากเลย
ด.ญ.มารีซาน กะลูแป
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
วันที่ 22 ฉันไปที่ภูเขาเห็นปลวก
แล้วฉันก็เห็นปลวกที่ต้นไม้
ปลวกชอบอยู่ที่ไม้
ปลวกชอบอยู่ที่กิ่งไม้
ฉันเห็นปลวกอยู่ที่ไม้จะตาย
ด.ญ.อาหะมา ประดู่
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
ฉันไปดูปลวกกับพ่อแม่
ฉันไปที่ภูเขามีปลวกที่ภูเขา
ฉันเห็นปลวกกับน้อง พี่ แม่ และยาย
ฉันไปบ้านตากับยายก็ไปบ้านแม่
ฉันไปที่ปลวกชอบอยู่ต้นไม้
ด.ญ.นูรูลฮูดา อาลีลาเต๊ะ
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
ฉันเห็นปลวกอยู่ในดินมีน้ำผุๆ
ปลวกชอบอยู่ในไม้เปียก
ปลวกก็ไม่ชอบอยู่ในไม้ไม่เปียก
ด.ญ.พาติเมาะ อาลีลาเต๊ะ
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ปลวก
ฉันดูปลวกในป่า
ฉันชอบดูปลวกอยู่ในสวน
ด.ช.มะปาซี
ป.2 / 28 ก.พ. 38
ผมพูดถึงอาการอ่านไม่ออกของเด็กในตอนต้นแล้วว่า ไม่ต้องสอบถามก็รู้อาการนั้น บัดนี้ผมรู้แล้วว่าใครบ้างอ่านออก ใครบ้างอ่านไม่ออก เพราะเด็กที่มีความสามารถในการอ่านหนังสือนั้น จะมีความสามารบอกความหมายของคำนั้นได้ และจะสามารถนำคำนั้นมาเขียน หรือใช้สื่อสารได้เช่นกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า
อ่านออก
บอกความหมายได้
ใช้สื่อสารเป็น
เรียงความทั้งหมดที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นตัวชี้ให้เห็นถึงความสามารถทางด้านการอ่านของเด็กๆ ได้
เด็กที่มีความสามารถในการอ่านสูงจะมีความสามารถในการนำคำที่อ่านผ่านมา มาเขียนเล่าเรื่องให้ครูฟังได้มาก เช่น สมหมาย บุญพามา โรสนานี กูวิง มารีซาน กะลูแป จะมีความสามารถด้านการอ่านสูงกว่าเด็กคนอื่น จึงสามารถเขียนเรื่องได้ดี
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมจะนำพฤติกรรมการอ่านของเด็กคนหนึ่งไปเปรียบเทียบกับเด็กอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ผมต้องการชี้ให้เห็นสภาพการอ่านจึงสามารถเขียนเรื่องได้ดี
ผมชอบกระบวนการการคิดของเด็กๆ จะเห็นได้ว่า พวกเด็กเหล่านี้จะเชื่อมโยงความคิดของเขาเข้ากับประสบการณ์ที่ผ่านมา การเขียนเรื่องของเขาจึงสามารถนำคำที่ผ่านพ้นมาเชื่อมโยงกับเรื่องที่จะเรียนรู้ใหม่ได้
ผมถือว่าเด็กสามารถนำคำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่า เขายังนำคำมาใช้ได้น้อยคำก็ตาม แต่เขาก็นำมาใช้ได้แล้ว วันนี้เขานำคำมาใช้ได้แค่นี้ พรุ่งนี้ เขาเพิ่มประสบการณ์เข้าไป เขาก็สามารถนำคำใหม่มาเพิ่มใช้ได้อีก ผมมั่นใจอย่างนี้ การอ่านกับการเขียนมีความสัมพันธ์กัน ถ้าเด็กเขียนได้ เด็กต้องอ่านเรื่องที่เขาเขียนได้
ผมจะยกตัวอย่างเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 คนหนึ่งของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 24 ขึ้นไปท่องจำบนเวทีในเช้าวันหนึ่ง* ด.ช.ยูโซ๊ะ ขึ้นไปท่องจำว่า
ฉันชื่อยูโซ๊ะ
กูโปะบ้านฉัน
ฉันมาทุกวัน
มาเรียนหนังสือ
เมื่อเข้าห้องเรียนผมขออนุญาตครูอรพินท์ มณีคร (ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย) เข้าไปทดสอบลองให้ ยูโซ๊ะออกมาเขียนบนกระดานดำ ปรากฏว่าพ่อหนูน้อยเขียนได้ ทั้งนี้เพราะ ทุกคำล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับตัวของยูโซ๊ะ เช่นคำว่า ยูโซ๊ะ คำว่า กูโปะ คำว่า บ้านฉัน คำว่า ทุวัน คำว่า เรียนหนังสือ เป็นคำที่ยูโซ๊ะคุ้นชินทั้งนั้น เมื่อครูสอนให้เขียนร้อยกรองได้ ยูโซ๊ะก็สามารถนำคำที่คุ้นชินและผูกพันอยู่มาเขียน แล้วอ่านจนจำไปท่องจำให้เพื่อนๆ ฟังได้
* โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 24 มีรายการภาษาไทยยามเช้าก่อนเข้าห้องเรียนทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง
เทคนิคการสอนนั้นมากมาย แล้วแต่ใครจะถนัดสอนอย่างไร หรือเอาอะไรมาสอน
ผมเองนั้นชอบสอนให้เด็กทำ หรือทำแล้วให้เด็กสอนกันเอง เช่น ชั่วโมงภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ผมให้เด็กๆ ออกมาเล่าเรื่องจากประสบการณ์ของเด็กๆ พอทุกคนเล่าจบ ผมก็ลองให้เขียนเรื่องให้ผมอ่าน ด.ญ.มารีย่า เป็นเด็กที่อยู่ในระดับการเรียนค่อนข้างอ่อน เธอเขียนจากเรื่องเล่าว่า
เรื่อง ฉันไปน้ำตก
กาลครั้งหนึ่ง* ฉันชวนพ่อไปน้ำตกและแม่
ฉันบอกพ่อว่า พ่อคะวันเสาร์นี้ เราไปน้ำตกกันนะคะ
พ่อบอกว่า ก็ได้จ๊ะพ่อจะพาแม่และลูกไปเที่ยวน้ำตกกัน
และให้แม่กำลังทำกับข้าวหมก ไปกินที่น้ำตก
พอถึงวันเสาร์ฉันไปบอกพ่อว่า พ่อคะ พ่อจำสัญญา
ที่เราตกลงกันได้ไหมคะ ได้ซิพ่อยังไม่แก่ที่จะลืม
* เด็กบางคนชอบเขียนเรื่องขึ้นต้นอย่างนี้
ง่ายๆ รู้แล้วคะคุณพ่อ ฉันรีบไปบอกแม่ว่า
แม่คะ ทำกับข้าวหมกเสร็จหรือยังคะ จวนคะ เสร็จแล้วจ๊ะ
ด.ญ.มารีย่า เจ๊ะเลาะ
ป.4 / 17 ก.พ. 38
จะเห็นได้ว่า มารีย่าใช้ความอดทนสูงกว่าจะเขียนเรื่องได้จบหนึ่งเรื่อง ต้องถามคำที่เขียนไม่ได้กับเพื่อนๆ เมื่อมารีย่ามาส่งงานให้ผมอ่าน ผมให้เธออ่านให้ผมฟัง เธออ่านได้ แล้วผมก็นำคำบางคำไปเขียนบนกระดานดำ มารีย่าอ่านได้ เช่น สัญญา ข้าวหมก ตกลง เสร็จหรือยัง
ความสำเร็จในงานของมารีย่าวันนั้นคือความสำเร็จในงานสอนของผมด้วย แต่เมื่อผมเห็นเด็กเก่งขึ้นมาแล้ว ผมไม่เคยคิดว่า ผมคือคนเก่ง เพราะภาระที่สำคัญของผมคือ สอนเด็ก
ผมจำได้ว่า เมื่อ 18 ธันวาคม 2537 ผมชวนเด็กๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปเที่ยวที่สวนป่าหน้าโรงเรียน
ความจริงแล้วนั้น การไปเที่ยวสวนป่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กๆ เพราะเขาไปทุกวัน และวันละหลายครั้ง แต่การไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นและมีครูไปด้วยมันต่างกัน
ผมดูเด็กๆ จะสนุกกับการไปเที่ยวพร้อมกับผม เด็กๆ คอยดูว่าครูให้พวกเขาทำอะไร นี่คือสิ่งที่เขารอคอย
“นักเรียนรู้สึกอย่างไรบ้าง” ผมถามเด็กๆ เมื่อเข้ามายืนใต้ต้นไม้
“ไม่ร้อนครู” เด็กๆ ตอบพร้อมกัน
“ทำไมจึงไม่ร้อนครับ” ผมถามต่อ
“ต้นไม้ครู เพราะมีต้นไม้ เราจึงไม่ร้อนครับ/ค่ะ” เด็กๆ ตอบ
แล้วเราก็สนทนากันถึงเรื่องต้นไม้ ประโยชน์ของต้นไม้ พอได้เวลาเราก็ชวนกันกลับเข้ามาในห้องเรียน แน่นอนผมได้อ่านงานเขียนของเด็กอีกแล้ว
ฉันรักต้นไม้
ฉันชอบปลูกต้นไม้ เพราะว่าต้นไม่มีความร่มรื่นดี
ฉันรักต้นไม้ เพราะว่าต้นไม่เป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
โรงเรียนของฉันก็มีต้นไม้เหมือนกัน วันหนึ่ง
แม่เคยเล่าเรื่องต้นไม้ให้ฉันฟังตอนที่ แม่เล่าเรื่องให้
ฉันฟังฉันก็เลยรักต้นไม้และดูต้นไม้ แม่เล่าว่า
ตอนที่แม่ยังเล็กๆ แม่ชอบชวนเพื่อนๆ ไปปลูก
ต้นไม้ ฉันจึงรกต้นไม้เหมือนแม่
ด.ญ.สุดารัตน์ เจ๊ะเล๊าะ
ป.2 / 18 ธ.ค. 38
ฉันรักต้นไม้
ฉันรักต้นไม้ และต้นไม้เป็นป่า
ฉันชอบต้นไม้ และต้นไม่เป็นป่า
ฉันปลูกต้นไม้ และฉันปลูกป่า
เด็กๆ ก็กำลังปลูกต้นไม้ให้เป็นป่า
และฉันรักต้นไม้ให้ต้นไม้เป็นป่า
ด.ญ.ลาบีเย๊าะ
ป.2 / 18 ธ.ค. 38
ฉันรักต้นไม้
ฉันรักต้นไม้ เพราะต้นไม้บางต้นให้ร่มเงามาก
บ้านของฉันมีต้นไม้หลายๆ ต้น ฉันดีใจมากที่บ้าน
ฉันมีต้นไม้หลายๆ ต้น ฉันรักต้นไม้ เพราะต้นไม้
เป็นสิ่งแวดล้อม วันนี้คุณครูพานักเรียนไปดูป่าไม้
และคุณครูให้นักเรียนเก็บขยะด้วย
ด.ญ.ดารียะ แวนะไล
ป.2 / 18 ธ.ค. 38