การวัดและประเมินผล 1 ชาตรี สำราญ
ติดต่อลงโฆษณา
Leaderboard in Content 1st
Fixed 1,000 baht/month
Slot 300 baht/month
การวัดและประเมินผล สัมพันธ์ กับการสอนและการวางแผนทั้งหมด  แม้ว่าจะมีข้อแตกต่างกันทางความคิดเกี่ยวกับการสอน การไม่สอน การจะสอนอะไร อย่างไร แม้กระทั่งว่าอาจจะมีความคิดว่า จริงๆ แล้ว อาจจะมีบางคนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสอน หรือ วัดและประเมินผล  แต่ก็อยากจะให้ลองอ่านบทความนี้ดูครับ ว่า  อ.ชาตรี เคยพูดถึง เรื่องการเรียน การสอน และ การวัดและประเมินผลไว้อย่างไร  ผมตัดมาเฉพาะบางตอน เพื่อให้สั้นลง และเหมาะที่จะอ่านใน web  นี้  (และขอเพิ่มความเห็นส่วนตัวในบางตอน)  หากท่านใด ต้องการอ่านเต็มเล่ม รบกวน อ่านได้ที่ รู้และเข้าใจการสอนอีกมุมหนึ่งhttps://sites.google.com/site/chatreesamran/hnangsux/-doc-11  ครับ  อีกครั้งหนึ่งที่จะต้องกล่าวว่า ผมเข้าใจดี ว่าท่านผู้อ่าน ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นครูในรูปแบบที่ ต้องมานั่ง ทำ คิด เขียน เหมือน ครู ในรร ทั้งหลาย  แต่ก็ขอบอกว่า แม้ว่า จะมีบางส่วนที่น่าจะอ่านยาก หรือเข้าใจไม่ง่าย หรือไม่น่า อ่าน แต่ผมก็มั่นใจว่า ท่านจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ บ้าง ไม่มาก ก็น้อยครับ [break]

ศุภกฤต สำราญชัยกร

คำนำ
หนังสือเรื่อง “ รู้และเข้าใจการสอนอีกมุมหนึ่ง” เล่มนี้ผมเขียนขึ้นเพื่อประกอบการบรรยายเรื่องการวัดและประเมินผลสู่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้  เมื่อบรรยายแล้วเห็นว่าน่าจะพิมพ์เผยแพร่ด้วย  จึงจัดพิมพ์เผยแพร่แก่ผู้รับฟังการบรรยายของผม

หวังว่าหนังสือเล่มนี้ คงมีคุณค่าต่อคุณครูผู้อ่านนะครับ

                                                     ชาตรี  สำราญ


ถ้าเราเข้าใจกฎของอิทัปปัจจยตา และหรือกฎของปฏิจจสมุปบาท  เราก็จะเข้าใจความสืบเนื่องเชื่อมต่อของสรรพสิ่งทั้งหลายทางธรรมชาติภายในโลกนี้  ดังคำที่กล่าวไว้ว่า  “เพราะสิ่งนี้มี   สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น” ทั้งนี้ไม่เว้นแม้แต่กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

                ถ้าเราเพ่งพิศให้ดีแล้ว  เราจะเห็นว่า ในแผนการจัดการเรียนรู้สู่ผู้เรียนนั้น  จะมีความสืบเนื่องเชื่อมต่อระหว่างจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง  ซึ่งร้อยรัดกันดั่งเป็นสายโซ่ที่เชื่อมโยงจากประเด็นหนึ่งไปสู่อีกประเด็นหนึ่ง  และไม่สามารถทำให้ขาดช่วงหรือผิดร่องรอยแตกกลุ่ม  แตกพวกออกไปได้  มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ถ้าทุกอย่างไม่ต่อเนื่องกัน

                หัวข้อต่าง ๆ ในการจัดทำแผน (การจัดกิจกรรม) การเรียนรู้  แต่ละข้อเฉกเช่น ภพ  ชาติ  ในปฏิจจสมุปบาท ที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน จากจุดเริ่มต้น คือ จุดประสงค์การเรียนรู้สู่การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ดังนี้

                จุดประสงค์การเรียนรู้คือ เป้าหมายหลักของคุณครูผู้สอน  ที่จะเป็นเครื่องชี้ทำนำทางพาศิษย์เดินไปด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สู่เป้าหมายที่วางไว้ได้   ดังนั้น ในจุดประสงค์การเรียนรู้คุณครูจะต้องวิเคราะห์แยกย่อยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า

ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องใด เพียงใด ต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการเรียนรู้ใด หรือต้องการให้ผู้เรียนทำอะไรได้ ทำอะไรเป็น ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม หรือเกิดความรู้สึกนึกคิดในด้านใด เพียงใด

(โดยส่วนใหญ่ เวลาที่เราสอนลูก เราก็ไม่ได้เขียนออกมาแบบนี้ แต่น่าจะอยู่ภายในใจของเรา ว่าเราอยากได้ อยากให้รู้อะไร เพียงใด)

ประเด็นที่แตกย่อยทั้ง  3   ข้อนี้  ถ้าหากครูผู้สอนระบุไว้ชัดเจนเห็นได้ชัดก็จะง่ายต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งเป็นโซ่ร้อยเชื่อมต่อข้อต่อไป คือ การวัดและประเมินผล

                การวัดและประเมินผล  เมื่อก่อนนี้คุณครูผู้สอนมักจะนิยมเขียนกันง่าย ๆ  พอได้ชื่อว่าเขียนแนวทางการวัดและประเมินผลไว้ในแผนการสอนหรือแผนการเรียนรู้แล้วว่า

ครูสังเกต ครูสัมภาษณ์ ครูตรวจแบบฝึกหัดหรือผลงาน ครูตรวจข้อทดสอบ

แต่ถ้าถามต่อว่า  ครูสังเกตอะไร แบบใด  มีเกณฑ์การสังเกตอย่างไรบ้าง  รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ไม่มีการบันทึกเอาไว้  ทุกอย่างอยู่ในหัวใจครูผู้สอนเจ้าของแผนการเรียนรู้เพียงผู้เดียว ก็เท่านั้นเอง( ตรงนี้ บางบ้านเรียนก็ไม่ได้บันทึกไว้ แต่หากสามารถเขียนออกมาได้ แม้จะไม่ละเอียดนัก จะทำให้สะดวกต่อการประเมินผลปลายปีครับ)  แต่ถ้าคุณครูผู้สอนเข้าใจถึงกฎของอิทัปปจจยตาหรือ ปฏิจจสมุปบาทแล้ว คุณครูผู้สอนจะสามารถเชื่อมโยงการวัดและประเมินให้ร้อยรัดกับจุดประสงค์การเรียนรู้ได้อย่างเหมาะเจาะงดงาม  ดั่งภาพที่พอจะมองเห็นได้ในขณะนี้ คือ

ตารางที่  1   ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
ตารางที่  2             ตัวอย่างกรณีความสอดรับกันระหว่างการวัดและประเมินผลการเรียนรู้กับพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงในขณะที่เกิดการเรียนรู้ได้ (ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า ความรับผิดชอบ การปฏิบัติ) (สนใจ ดูใน web ตาม link ข้างบนครับ)
 

การวัดผลและประเมินผลนั้น  คุณครูต้องดูที่จุดประสงค์ว่าต้องการให้ผู้เรียน รู้ ทำและเกิดอะไรขึ้นกับผู้เรียน  ถ้าคุณครูพลิกกลับไปดู “ ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้”  ที่ทำเป็นตัวอย่างในบทที่  1  แล้วนั้น  คุณครูก็จะเห็นภาพได้ชัดเจนว่า จุดประสงค์การเรียนรู้ต้องการอะไร  ซึ่งเราผู้สอนก็ต้องวัดและประเมินผลสิ่งนั้นให้ปรากฏภาพมาตอบจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ได้ ( ส่วนใหญ่ เราไม่ได้ สนใจในจุดการวัดผลและประเมินผลนี้สักเท่าไหร่  เรียนรู้และสอนกันตามสภาพจริง วัด ประเมินผล จากสิ่งที่เห็น ไม่ค่อยมีแบบทดสอบ  แต่อย่างน้อย ก็ขอให้มีการเก็บร่องรอย ที่เด็ก หรือ ผู้สอนบันทึกไว้บ้างครับ)

สิ่งที่คุณครูพึงรำลึกไว้เสมอว่า  ทุกครั้งที่วัดผลการเรียนรู้นั้น  คุณครูจะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญคือ

1.  จะต้องมีจุดมุ่งหมายของการวัดผลระบุไว้ให้ชัดเจนว่า  จะวัดอะไร  จะวัดในสถานการณ์ใด  จะวัดไปทำไม

คำถามทั้ง  3  ข้อนี้จะช่วยให้คุณครูเดินทางได้ตรงเป้าและเส้นทางที่ปรากฏในภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์กับการวัดประเมินผลที่แสดงผ่านมานั้นจะตอบคำถามทั้ง  3  ข้อนี้ได้  ทั้งนี้คุณครูผู้สอนต้องเขียนระบุคำตอบเหล่านี้ให้ชัดเจนใน “สิ่งที่ผู้วัดและประเมินผลต้องค้นหาให้พบ” ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยให้คุณครูทำงานได้ตรงทิศทาง  ถ้าเราไม่เขียนไว้ให้ชัดเจนก็จะลืมได้  การลืมส่งผลให้วัดผลได้ไม่ตรงประเด็นเท่าที่ควรจะทำให้ข้อมูลที่ได้มาขาดความน่าเชื่อถือ

2.  เมื่อคุณครูรู้ว่า เราจะวัดอะไร  ในสถานการณ์ใดและวัดไปทำไมแล้ว  คุณครูต้องกำหนดเครื่องมือการวัดให้ตรงกับงานที่ต้องการใช้ เช่น แบบสัมภาษณ์   ข้อสอบ  มาตรการประเมินค่า  แบบการสังเกต  พร้อมกับมีเกณฑ์คะแนนที่ชัดเจนด้วย

3.  เมื่อคุณครูวัดผลได้มาแล้ว  อย่าลืมว่า ความสำคัญของการวัดผลนั้นอยู่ตรงที่คุณครูนำผลที่วัดได้มาแปลผลและนำใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผู้เรียน  ตรงนี้สำคัญมาก

ส่วนในการประเมินผล นั้น  เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด  การประเมินผลจะต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดที่เป็นปรนัย  กล่าวคือ มีความเที่ยงตรง  เชื่อถือได้  หรือในบางครั้งการประเมินผลต้องอาศัยการ “สังเคราะห์ข้อมูล” จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาตัดสินคุณค่าของสิ่งนั้น โดยคุณครูสามารถอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ  3  ส่วนอีกเช่นกัน คือ

ข้อมูลจากการวัด การตีความหมาย การกำหนดคุณค่าตามเกณฑ์มาตรฐาน 

นั่นแสดงว่า การวัดกับการประเมินจะมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว  เพราะคุณครูประเมินผลได้ดี มีผลที่น่าเชื่อถือได้ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดมาตีค่าความหมายแล้วกำหนดคุณค่าว่า ดี  ดีมาก  น่าพอใจ  มากน้อยเพียงใด  โดยอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

คำถามสำคัญที่คุณครูจะต้องน้อมรำลึกอยู่เสมอทุกครั้งที่เตรียมการสอน ลงมือทำการสอนและเมื่อสอนเสร็จแล้ว คือ “สอนทำไม และผู้เรียนจะได้อะไร หรือผู้เรียนจะนำไปใช้ประโยชน์ที่ใดได้บ้าง” คำถามนี้คือข้อที่คุณครูควรสำเหนียกไว้ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะเป็นกุญแจสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (หากเราเรียนรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต หรือในชีวิตประจำวัน ก็จะสามารถตอบโจทย์นี้ได้ง่ายครับ แต่หากจุดประสงค์เพื่อการเพิ่มทักษะบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ก็อาจจะต้องประเมินว่าลูกจะได้รับหรือไม่ครับ )

สอนทำไม จะควบคู่ไปกับวัดและประเมินผลทำไม  คุณครูต้องค้นหาประโยชน์ของการวัดและประเมินผล คำถามแรกนี้เป็นคำถามที่จะนำคุณครูให้คิดวางแผนการวัดและประเมินผล ข้อต่อไปได้  ถ้าคุณครูตอบได้ว่า “วัดและประเมินผลทำไม” แล้วคุณครูจะสามารถเขียนจุดประสงค์ของการวัดและประเมินผลได้ตรงเป้าหมาย ชัดเจนและง่าย

ในการวัดและประเมินผลนั้น  คุณครูส่วนใหญ่จะวัดและประเมินผล  3  ช่วง ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครั้งหนึ่ง ๆ คือ ก่อนสอน  ระหว่างสอน  และหลังสอน

การวัดและประเมินผลก่อนสอน  นั้นเพื่อที่จะจัดวางตำแหน่งของผู้เรียนว่า ใครอยู่ในกลุ่มการเรียนเก่ง  ปานกลาง  และอ่อน  เพื่อง่ายต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน(บ้านเรียนไม่ค่อยมีปัญหา เรารู้จักลูกของเราอยู่แล้ว)

การวัดผลประเมินผลระหว่างสอน  นั้นเพื่อที่คุณครูผู้สอนจะได้ดูว่า  ผู้เรียนแต่ละคน  แต่ละกลุ่มพัฒนาการเรียนรู้ขึ้นมาในระดับใด  มีด้านใดที่ต้องเติมเต็มให้อีก  เพราะหน้าที่ของครูคือ

เติมเต็มให้รู้

เติมดูให้เห็น

เติมเล่นให้เรียน

เติมเขียนให้อ่าน

            แล้วเด็กจะสร้างผลงานให้ครูเห็นได้ (ตรงนี้ขึ้นกับความสามารถของผู้เรียนและผู้สอน ส่วนใหญ่น่าจะผ่าน) 
 

                การวัดและประเมินผลหลังสอน เป็นการสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียนว่า พัฒนาขึ้นมาเพียงใด และสรุปผลการสอนของคุณครูว่า กิจกรรมใดที่ผู้เรียนนำใช้แล้วเกิดการเรียนรู้  กิจกรรมใดที่ทำให้ผู้เรียนสับสน  ต้องแก้ไขต่อไป การวัดและประเมินผลหลังสอนจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย (ส่วนใหญ่ เราก็ ทำกัน ในใจอยู่แล้ว  แต่หากบันทึกไว้ก็จะดี อาจจะมีบันทึกกการประเมิน จากเด็กด้วย ก็ยิ่งดีครับ)

เมื่อคุณครูสามารถค้นหาคำตอบมาตอบคำถามที่ว่า “วัดและประเมินผลทำไม” แล้ว คุณครูต้องตั้งคำถามต่อไปอีกว่า “วัดและประเมินอะไร”  นั่นหมายถึงว่าคุณครูต้องค้นหาคำตอบให้ได้ว่า “จะประเมินอะไรของผู้เรียน”  เพราะการจัดการเรียนรู้นั้น ในครั้งหนึ่ง ๆ  ผู้เรียนจะเกิดผลการเรียนรู้ อาจจะหลายด้านแต่เราผู้สอนจะประเมินด้านไหนของผู้เรียน  เช่น

                1.  ด้านสติปัญญาของผู้เรียนที่เกี่ยวกับความรู้  ความจำ  ความคิด การแก้ปัญหาต่าง ๆ

                2. ด้านอารมณ์และความรู้สึก เช่น ความสนใจ  ทัศนคติ ค่านิยม  คุณธรรม

                3.  ด้านทักษะกระบวนการและการปฏิบัติ เช่น การเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของกล้ามเนื้อ  วิธีการศึกษาเรียนรู้การนำทักษะการเรียนรู้ทักษะหนึ่งทักษะใดมาใช้ในการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าวิธีการเรียนรู้วิธีการเรียนรู้

                เมื่อคุณครูได้คำตอบชัดเจนแล้วว่าจะวัดและประเมินผลอะไร  คำถามที่ถามมาคือ  จะวัดและประเมินผลอย่างไร  นั่นคือ คุณครูต้องคำนึงถึง วิธีการ  ว่าจะดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างไร  คุณครูจะต้องคิดออกแบบเครื่องมือที่จะนำมาใช้วัดและประเมินผล  คิดถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการ รวมถึงวิธีการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล

               

                ขั้นสุดท้ายที่คุณครูจะต้องค้นหาคำตอบคือ จะต้องถามว่า “จะตัดสินด้วยวิธีใด”  นี่เป็นหัวใจของการวัดและประเมินผล เพราะข้อสำคัญของการประเมินผลนั้น คุณครูจะต้องตั้งเกณฑ์ การวัดประเมินผลให้ชัดเจน  พอที่ใครก็ตามมาตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน  มาตีความหมายผลการวิเคราะห์สามารถนำผลการวิเคราะห์ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์กลุ่มหรือเกณฑ์ระดับความสามารถหรือระดับทักษะที่กำหนดไว้ได้อย่างเที่ยงตรง เชื่อถือได้

เวลาวิเคราะห์มาตรฐานช่วงชั้นแต่ละรายข้อนั้น เราควรวิเคราะห์ออกมาให้เห็นภาพชัดเจนว่า มาตรฐานข้อนั้น ๆ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะด้าน

                1.  ความรู้ ความเข้าใจ ความจำ ความคิดและการแก้ปัญหาต่าง ๆ เรียกว่า ด้านสติปัญญา

                 2.  คุณธรรม  จริยธรรม   ค่านิยม  ความสนใจ  ทัศนคติ ในด้านใดบ้าง มากน้อยเพียงใด เรียกว่า ด้านอารมณ์และความรู้สึก

                3.  ความสามารถในเรื่องอะไร มากน้อยเพียงใด วิธีการศึกษาเรียนรู้ การนำทักษะการเรียนรู้  ทักษะหนึ่งทักษะใดมาใช้แก้ปัญหาการเรียนรู้  เรียกว่า  ด้านทักษะกระบวนการและการปฏิบัติ

                เพราะข้อมูลทั้ง  3   ข้อนี้จะโยงใยสัมพันธ์ถึงการกำหนดรูปแบบการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ที่จะนำสอน  และจัดกิจกรรมการเรียนรู้  โดยที่คุณครูควรคิดคำถามขึ้นมาถามเพื่อค้นหาคำตอบ  เช่น

                1.  รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องอะไร (K)

                2.  รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนปฏิบัติอย่างไรบ้าง (P)

                3.  รัฐต้องการจะให้ผู้เรียนเกิดนิสัยถาวรด้านใดบ้าง (A)

คำถามทั้ง  3  ข้อนี้  คุณครูนำไปค้นหาคำตอบจากมาตรฐานช่วงชั้น แล้วแยกออกให้ละเอียด แสดงไว้ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เมื่อคุณครูได้ภาพงาน (K,P,A )   ชัดเจนแล้ว  จะช่วยให้คุณครูนำเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ชัดเจนเช่นกัน (โดยส่วนใหญ่ ครอบครัวไม่ค่อยจะมาจนถึงขั้นนี้ครับ ศน ก็ ไม่ค่อยจะมาประเมินเช่นกัน  มักจะเป็นการประเมินโดยรวมเสียมากกว่าครับ)