บันทึกหลังการอ่านหนังสือ "โลกทั้งใบเรียนได้ไม่รู้จบ"
ติดต่อลงโฆษณา
Leaderboard in Content 1st
Fixed 1,000 baht/month
Slot 300 baht/month
ผ่านมา 1 - 2 เดือนแล้วสินะ ที่เริ่มรู้สึกว่าลูกตัวเองเป็นเด็ก Home school จากการที่เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันทยอยเข้าโรงเรียนกันหมด ผ่านไปไหนก็มีแต่คนถาม ร้านข้าวที่สั่งประจำก็ถามประจำ ได้ความรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ให้ลูกเข้าโรงเรียนซะที -*- จริง ๆ ก็ไม่อยากรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่ (รู้สึกว่าตัวเอง Home school ลูก) เพราะเอาจริง ๆ ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จดทะเบียนได้ มองไปเด็กฝรั่งแถวบ้านก็ไม่ค่อยมีใครเข้าโรงเรียน ส่วนใหญ่เค้าก็เข้าที่เดียวใกล้ ๆ ป.1 เข้าใจว่าทางยุโรปและอเมริกา การศึกษาในระบบก็เริ่มที่ ป.1 ทำให้รู้สึกว่า ทางบ้านเราและเอเชียเหมือนจะเอาลูกเข้าระบบเร็วมาก
[break]

ว่าไปผ่านไปแค่ ไม่กี่เดือนก็ได้บรรยากาศเหมือนกับ คนที่โฮมลูกมานานเลยนะ -*- สังเกตจาก ข้อกังวล คำถามมักถูกถามในหนังสือเล่มนี้ ช่างเหมือนกับที่เรานึกคิดและเจอคนอื่นถาม  จริง ๆ ก็ไม่ค่อยอยากประกาศตัวว่าจะ Home school ลูกเท่าไหร่ ถามคำถามนี้บ่อยนะ ว่าจะไปได้ไหม คำตอบที่ได้ไม่เคย สงสัยเลยว่ามันจะดีจริง ๆ เปล่า จะเหมาะกับลูกหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตดู ลูกน่ะไม่มีปัญหาใด ๆ เลย มีความสุขมีพัฒนาการที่ดี และก็มีเพื่อน เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ลูกไม่ได้ต้องการเยอะ แค่เรา กับเด็ก ๆ รายล้อมนิดหน่อยก็ไปได้แล้ว ขอแค่พ่อยังเล่นกันอยู่ก็ถึงไหนถึงกัน และคิดว่าถ้าถึงวัยที่ต้องการเพื่อนเราก็จะหากลุ่มหาอะไรได้ตามที่ควรจะเป็นนะ

แต่ไอ้ที่จะไปไม่รอด ถ้าจะไม่รอดนี่น่าจะเราเองมากกว่า... ยังไงดีละ เล่นกับเด็ก ยังไม่ 3 ขวบดีทุกวันนี่ก็ไม่ได้เพลิดเพลินมากนะ ช่วงที่เลี้ยงยาว ๆ นี่หมดวันก็หมดแรง เหมือนกัน แต่พอท้อ ๆ เหนื่อย ๆ ลูกก็มีอะไร น่าตื่นเต้นเสมอ ๆ เลย บางช่วงท้อ ๆ หมดมุกอยู่ดี ๆ ลูกก็เริ่มเล่นคนเดียวได้นานขึ้น แก้ปัญหาคลายปมบางอย่างได้ (จำไม่ได้ว่าอะไร) เราได้เล่นกับลูกคนอื่นที่โตกว่า ก็ยังสนุกอยู่บ้าง และจะว่าไปทำให้เราได้คิด ทำอะไรหลายอย่างใหม่ ๆ น่าตื่นเต้น นะ ได้ตั้งกลุ่มบน FB หาเพื่อนให้ลูก ทำให้เราได้รู้จักผู้คนเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองที่แนวคิดใกล้เคียงกันด้วย ได้รู้จักครอบครัวลิเดีย ได้สถานที่เล่น เราคิดว่าเทียบเรื่องสภาพแวดล้อมแล้วที่รายล้อมลูกและตารางเวลาของเราที่มันไม่เป็นเวลาแล้ว มันดีมากเลยนะ อยู่ดี ๆ เราจะไปซื้อของ จะไปเที่ยว จะทำอะไรเราก็ทำได้ วันนี้ตื่นสายหน่อย ก็ไม่ต้องรีบ วันนี้ตื่นเช้าก็ไม่เป็นไร ขนาดว่าจะ กำหนดวันตายตัวหนึ่งวัน/สัปดาห์ ครึ่งเช้าให้มีกิจกรรมแล้วชวนลูกคนอื่นมาร่วม เรายังไม่แน่นใจจะทำเลย เพราะไม่อยากมีตารางตายตัว แต่คิดว่าลูกโตหน่อยคงได้ทำจริง ๆ จัง ๆ บ้าง กะว่า 3 ขวบน่าจะมีบ้าง ทั้งหมดทั้งปวงเราคิดว่าระยะยาวเราสามารถจะวางแนวทางไปสู่เป้าหมายที่วางไว้อันแรกได้นะ คือ เข้าตอน อ.3 หรือ ป.1 เป็นอย่างเร็ว

แต่อ่านหนังสือเล่มนี้จบก็ทำให้อยากให้มันยืดออกไปเรื่อย ๆ ( ทั้งที่เพิ่มเริ่มได้ไม่เท่าไหร่และไม่รู้จะไปถึงไหน) อย่างวันนี้ (18 ก.ค. 55) พาลูกไปแม่ริม ไปโรงเรียนสอนลิง กับพิพิธภัณฑ์แมลง ก็รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นนะ เราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นพร้อม ๆ ไปกับลูก เสียงแมลงที่ยินที่บ้าน ที่เราไม่แน่นใจว่ามันจิ้งรีดหรือจักจั่น ก็รู้ว่ามันคือจิ้งรีด และก็รู้ภาษาอังกฤษของแมลงทั้งสอง และรู้ว่ารู้สลับนิดหน่อยจากหนังสือนิทานที่มันแปลผิดด้วย คือเสียงที่บ้านคือ จิ้งรีด = cricket  ส่วนจักจั่น นี่ Cicada (อันนี้แหละที่นิทานแปลผิด) ได้รู้ว่า centipede นี่มันตะขาม ไม่ใช่กิ้งกือ กิ้งกือนี่ millipede  พอเจออย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่า อยากให้โตเร็ว ๆ คงจะสนุกกว่านี้ อาจจะได้เล่นเครื่องดนตรีบางชิ้นไปพร้อม ๆ กับลูก ศึกษาเรื่องโน้นนี่นั้น พอคิดอย่างนี้นึกถึงว่าถึงเรียนในโรงเรียนมันก็ทำได้นี่ อืมก็จริงนะ แต่ลึก ๆ เรารู้สึกว่าถ้าเอาลูกเข้าโรงเรียน ความกระตือรือร้น ของเราที่จะจัดการเรียนรู้ให้ลูกก็คงลดลงไปบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเรื่องของอนาคต ก็บันทึกไว้เพียงเท่านี้ ยังไงเกิดอาการท้อ ไม่แน่นใจเมื่อไหร่ก็กลับมาดู ที่ถ่ายหนังสือเล่มนี้ไว้แล้วค่อยตัดสินใจก็เชื่อว่าจะเป็นการตัดสินใจทีดีทั้งนั้น

*** ว่าจะ up รูปด้วย แต่ งง ๆ มากมาย ไม่รู้ว่ารูปไปอยู่ตรงไหน มีโอกาสจะมา up นะครับ หรือเข้าดูเลยได้ที่ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.490454777635267.123096.100000122460462&type=3